ธงชาติสหรัฐอเมริกาและจีน
ธงชาติสหรัฐอเมริกาและจีน | ถ่ายโดย: Unsplash / Guillaume Périgois (Unsplash License)
ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีจีนอีก 100% รวมเป็น 130% จีนตอบโต้แข็งไม่ยอมถอย สงครามการค้ากลับมาอีกครั้ง
เนื้อหาข่าว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2025 ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% “เหนือจากภาษีที่จีนกำลังจ่อยู่ในปัจจุบัน” โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 หรือเร็วกว่านั้น
เนื่องจากภาษีปัจจุบันสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนอยู่ที่ 30% การเพิ่มภาษีอีก 100% จะทำให้ภาษีรวม อาจสูงถึง 130% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การค้าสมัยใหม่ระหว่างสองประเทศ
สาเหตุของการขึ้นภาษี
มาตรการควบคุมแร่หายากของจีน
ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อการที่จีนขยายมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกครอบคลุม 12 จาก 17 ชนิด ของโลหะแร่หายาก (rare-earth metals) และอุปกรณ์การกลั่นบางประเภท โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม
แร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง รวมถึง:
- สมาร์ทโฟน
- ยานยนต์ไฟฟ้า
- อาวุธทางทหาร
- เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
จีนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นกว่า 80% ของตลาดโลก
มาตรการควบคุมซอฟต์แวร์ของสหรัฐ
นอกจากการขึ้นภาษีแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ยังประกาศว่าสหรัฐจะใช้มาตรการควบคุมการส่งออก “ซอฟต์แวร์สำคัญทั้งหมด” (critical software) จากบริษัทอเมริกันไปยังจีน เพื่อเป็นการตอบโต้
การตอบโต้จากจีน
คำแถลงจากกระทรวงพาณิชย์จีน
จีนออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวว่า “ท่าทีของจีนสม่ำเสมอเสมอมา เราไม่ต้องการสงครามภาษี แต่เราไม่กลัวสงครามภาษี”
กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า จีนพร้อมที่จะตอบโต้หากประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินการตามคำขู่ขึ้นภาษี 100%
ประวัติการตอบโต้ของจีน
ในอดีต จีนเคยตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐด้วยการ:
- ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ (ถั่วเหลือง ข้าวโพด เนื้อสัตว์)
- จำกัดการส่งออกแร่หายากและวัตถุดิบสำคัญ
- สร้างอุปสรรคทางการค้าแก่บริษัทอเมริกันในจีน
- ลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ผลกระทบต่อตลาดการเงิน
ตลาดหุ้นร่วง
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 2.7% หลังจากประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก
นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า หากสงครามการค้าลุกลามต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและทำให้เกิดภาวะถดถอย
ผลต่อราคาสินค้า
หากภาษี 130% มีผลบังคับใช้ ราคาสินค้าจีนที่นำเข้าสู่สหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้:
- ผู้บริโภคสหรัฐต้องจ่ายแพงขึ้น
- บริษัทสหรัฐที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนต้องหาแหล่งอื่น
- เงินเฟ้อในสหรัฐอาจพุ่งสูงขึ้น
บริบทของสงครามการค้า
ประวัติความขัดแย้ง
สงครามการค้าสหรัฐ-จีนเริ่มต้นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์วาระแรก (2017-2021) และมีการลุกลามต่อเนื่อง ในช่วงต้นปี 2025 ภาษีจากทั้งสองฝ่ายเคยสูงถึง มากกว่า 100% ในเดือนเมษายน
หลังจากนั้นมีการเจรจาและลดภาษีลงมาเหลือ 30% แต่ความตึงเครียดยังคงอยู่และกลับมาลุกลามอีกครั้งในเดือนตุลาคม
การพบปะระหว่างผู้นำ
การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจทำให้การพบปะที่เป็นไปได้ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนถูกยกเลิก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาสันติภาพทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
บริษัทอเมริกัน
บริษัทสหรัฐหลายพันแห่งพึ่งพาสินค้าและชิ้นส่วนจากจีน ภาษีที่สูงขึ้นจะบีบให้พวกเขาต้อง:
- หาแหล่งผลิตใหม่ (เวียดนาม อินเดีย เม็กซิโก)
- เพิ่มต้นทุนการผลิต
- ลดกำไร หรือขึ้นราคาสินค้า
บริษัทจีน
บริษัทจีนที่ส่งออกไปสหรัฐจะสูญเสียตลาดสำคัญ และอาจต้อง:
- หาตลาดใหม่ในเอเชีย ยุโรป หรือตะวันออกกลาง
- ลดกำลังการผลิต
- เลิกจ้างพนักงาน
ประเทศที่สาม
ประเทศอื่นๆ อาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า แต่ก็ต้องเผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
บทวิเคราะห์เพิ่มเติม
สงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่กลับมาลุกลามในครั้งนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งโครงสร้างที่ลึกซึ้งระหว่างสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องการค้า แต่ยังรวมถึง:
- การแข่งขันทางเทคโนโลยี: การควบคุมเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น AI, ชิปเซมิคอนดักเตอร์, และเทคโนโลยี 5G
- อำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันเพื่ออิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
- ระบบเศรษฐกิจโลก: การต่อสู้เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าและการเงินโลก
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า สงครามการค้าไม่มีฝ่ายชนะ ทั้งสองประเทศและเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบเชิงลบ:
- การชะลอตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การว่างงานเพิ่มขึ้น
- เงินเฟ้อสูงขึ้น
- การลงทุนลดลง
ทางออกที่ดีที่สุดคือการเจรจาและหาจุดประนีประนอม แต่ความภาคภูมิใจของผู้นำทั้งสองฝ่ายและแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยาก
สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค สงครามการค้าสหรัฐ-จีนสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยง โอกาสคือการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่ความเสี่ยงคือผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการค้า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง